RELATIONSHIP BETWEEN QUALITY OF WORK LIFE AND ORGANIZATIONAL COMMITMENT OF BANGKOK YOUTH OBSERVATION AND PROTECTION CENTER’S EMPLOYEES.

Abstract

The objectives of this research were to study relationship between quality of work life and organizational commitment of Bangkok Youth Observation and Protection Center’s employees. The population consisted of 80 cases of employees of Bangkok Youth Observation and Protection Center. The research tools comprised of frequency, percentage, mean, standard deviation and Pearson’s correlation coefficient. The findings revealed that: 1) Personal factors of the majority of population were female; aged between 30-40 years; status was single; education background was Bachelor’s degree; working experience between 6 and 10 years; monthly income between 15,001 – 30,000 Baht; 2) overall quality of work life was at high level (mean = 3.94, S.D = 0.18); 3) organizational commitment categorized in accordance with personal factors, mean was 4.46 and standard deviation was 0.40; and 4) overall quality of work life and organizational commitment of Ban Karuna Youth Observation and Protection Center’s employees had positive relationship at moderate level (Pearson’s correlation coefficient (ρ) = 0.76)

Recommendation for application of research: employees working for Bangkok Youth Observation and Protection Center had overall quality of work life at high level. To enhance quality of work life for employees of Bangkok Youth Observation and Protection Center, Happy Workplace (8 basic happiness) should be utilized for sustainable happy life management, build positive attitude to living, living with others, social responsibility, good member of family, organization and society based on eight happiness. The research findings were applied for improving quality of work life for employees of Bangkok Youth Observation and Protection Center.

งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพชีวิตในการทํางานกับความผูกพันต่อองค์การของบุคลากรสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนกรุงเทพมหานคร กลุ่มประชากร คือ เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานอยู่ในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนกรุงเทพมหานคร จํานวน 80 คน เครื่องมือที่ใช้ ในการวิจัยคือ แบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยส่วนบุคคลของประชากรส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุระหว่าง 30-40 ปี มีสถานภาพโสด มีระดับการศึกษาปริญญาตรีขึ้นไป มีอายุงานในองค์การ 6 – 10 ปี มีระดับรายได้ต่อเดือน 15,001-30,000 บาท 2) ระดับคุณภาพชีวิตในการทํางานโดยรวม อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย 3.94 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.18 3) ความผูกพันต่อองค์การจําแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล จากผลการศึกษาพบว่ามีค่าเฉลี่ยของความผูกพันต่อองค์การโดยรวมมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.46 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.40 4) คุณภาพชีวิตในการทํางานกับความผูกพันต่อองค์การโดยรวมของบุคลากรศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนชายบ้านกรุณา ในภาพรวมมีความสัมพันธ์เชิงบวก ในระดับปานกลาง โดยมีค่า สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (ρ) เท่ากับ 0.76

ข้อเสนอแนะในการนำผลการศึกษาไปประยุกต์ใช้จากผลการศึกษาพบว่าเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานอยู่ในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนกรุงเทพมหานครมีคุณภาพชีวิตในการทำงานโดยรวมอยู่ในระดับมาก ดังนั้นเพื่อเป็นการเพิ่มคุณภาพชีวิตในการทำงานของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานอยู่ในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนกรุงเทพมหานครให้ดียิ่งขึ้น อาจนำแนวคิด Happy Workplace (ความสุขพื้นฐาน 8 ประการ) ซึ่งเป็นแนวทางในการบริหารจัดการชีวิตให้มีความสุข อย่างยั่งยืน สร้างทัศนคติบวกต่อมุมมองในการดำเนินชีวิต การอยู่ร่วมกับผู้อื่น การรับผิดชอบต่อสังคม เป็นสมาชิกที่ดีต่อครอบครัว องค์กร และสังคม โดยมีความสุขที่แท้จริงบนพื้นฐาน ความสุขแปดประการที่สมดุลกับชีวิต เพื่อนำผลการศึกษามากำหนดเป็นแนวทางปรับปรุงคุณภาพชีวิตในการทำงานให้ดียิ่งขึ้นเพื่อเป็นการเพิ่มระดับคุณภาพชีวิตในการทำงานของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานอยู่ในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนกรุงเทพมหานคร