Please use this identifier to cite or link to this item:
http://ithesis-ir.su.ac.th/dspace/handle/123456789/2538
Title: | VARIETY OF STORIES ON MURAL PAINTING IN THE REIGN OF KING RAMA III ความหลากหลายของเรื่องราวและการแสดงออกในจิตรกรรมฝาผนังสมัยรัชกาลที่ 3 |
Authors: | Kawit TANGCHARATWONG กวิฎ ตั้งจรัสวงศ์ SAKCHAI SAISINGHA ศักดิ์ชัย สายสิงห์ Silpakorn University. Archaeology |
Keywords: | จิตรกรรมฝาผนัง รัชกาลที่ 3 เรื่องราวในพระพุทธศาสนา Murals King Rama III Buddhist themes |
Issue Date: | 12 |
Publisher: | Silpakorn University |
Abstract: | In the reign of King Rama III, there were various themes and artistic styles used in murals. The selected themes show the relationship with the historical background of each temple. Normally, most of the murals followed the Thai traditional way, such as the paintings of the Buddha’s life, the Buddha’s ten previous lives (Jataka) and Buddhist cosmology. This group of paintings focuses on the story of the Lord Buddha and on the establishment of the building as the center of universe. However, the artisans employed the new artistic styles for paintings these aforementioned themes; the scenes were painted continuously on the four side walls, which led the artisans to have some more space for painting many more details. Another interesting theme is Mahosot Jataka (one of the Buddha’s ten previous lives). Unlike the past, this story was painted as the main theme of the ordination hall of Wat Phrachetuphon probably due to the purpose of establishing this temple as the center of knowledge including medicine. In the same temple, the theme of the Lord Buddha’s great disciples and Mahavamsa should be related to the court’s aim to promote education among people and revitalize Buddhism.
As for the styles, the artisans employed both Thai traditional and new artistic styles to paint some characters in the paintings, such as the three daughter of the Great Demons. The chronological order was not in accordance with the Buddhist scriptures but with the Thai convention in the past.
Some painting techniques were invented during this period, such as painting one story on the four side walls continuously. Moreover, like the past, the artisans still gave an importance on symmetry but employed a new way. In the previous times, either the scene of subduing Mara or the Buddhist cosmology was chosen and painted on the middle part of the rear wall. Nevertheless, the artisans of King Rama III either followed the traditional way or painted the scene of a big city instead.
The change in the murals during the reign of King Rama III reflected the influx of Chinese influence in the early stage and then that of the western one in the later period. This phenomenon had an impact on the murals in the era of King Rama IV, during which the murals show the western influence much more than the previous reign. เรื่องราวและการแสดงออกในงานจิตรกรรมฝาผนังในสมัยรัชกาลที่ 3 มีหลายหลากประเภท เรื่องราวที่เลือกมาเขียนแต่ละอาคารต่างแสดงให้เห็นถึงจุดประสงค์ในการสร้างวัดนั้นๆ โดยทั่วไปมักเขียนภาพตามแบบแผนประเพณี เช่น ภาพพุทธประวัติ ทศชาติ และไตรภูมิโลกสัณฐาน ซึ่งในกลุ่มภาพนี้มุ่งเน้นการนำเสนอเรื่องราวของพระพุทธเจ้า และการสร้างความหมายของอาคารให้เป็นศูนย์กลางจักรวาล แต่ก็ได้มีการการปรับเปลี่ยนการนำเสนอใหม่ โดยการเขียนเป็นภาพเล่าเรื่องแบบต่อเนื่องบนผนังเหนือกรอบหน้าต่างทั้ง 4 ด้าน จึงทำให้มีพื้นที่มากขึ้นและเรื่องราวก็สามารถเขียนรายละเอียดได้มากยิ่งขึ้น ส่วนเรื่องราวอื่นๆ ได้นำเสนอแนวคิดการสร้างซึ่งแตกต่างไปจากในอดีตทั่วไป ดังเช่น ภาพมโหสถชาดกที่พระอุโบสถวัดพระเชตุพนฯ ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่เคยเขียนมาแล้ว แต่ได้นำมาเขียนให้เป็นเรื่องหลักของอาคาร เพราะเนื้อเรื่องอาจสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการสร้างวัดที่เกี่ยวข้องกับการเป็นแหล่งรวบรวมองค์ความรู้รวมทั้งตำราการรักษาโรคต่างๆ อีกทั้งการเขียนภาพบุคคลที่ได้รับการยกย่องให้เป็นเอตทัคคะและภาพมหาวงศ์ ยังน่าจะสอดคล้องกับแนวความคิดเรื่องการส่งเสริมด้านการศึกษาให้แก่ประชาชนและการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาด้วย การแสดงของตัวละครในภาพพุทธประวัติ ชาดก มักเขียนตามงานช่างในอดีต แสดงให้เห็นถึงการรักษาระเบียบแบบแผนเดิมซึ่งง่ายต่อการเข้าใจเรื่อง นอกจากนี้ การนำเสนอเรื่องอาจเปลี่ยนแปลงตามความรู้จากศาสตร์อื่นๆ เช่น ภาพม้ากัณฐกะที่มีสีต่างกัน หรือภาพธิดาทั้ง 3 ของพญามาร อาจเป็นเหตุการณ์ไม่สำคัญนักจึงไม่พบทุกวัด การนำเสนออาจไม่ได้ยึดตามลำดับเหตุการณ์ในคัมภีร์ แต่อาจยึดตามการนำเสนอตามแบบงานช่างในอดีต เทคนิคการเขียนได้ปรับเปลี่ยนมาจากงานช่างในสมัยก่อนหน้า บางอย่างเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 เป็นครั้งแรก เช่น การเขียนภาพเล่าเรื่องแบบต่อเนื่องบนผนังเหนือกรอบหน้าต่างอาจสัมพันธ์การปรับเปลี่ยนจิตรกรรมฝาผนังในสมัยรัชกาลที่ 2 ประกอบกับความนิยมศิลปะจีนในสมัยรัชกาลที่ 3 ที่นิยมการเขียนภาพทิวทัศน์ขนาดใหญ่ การออกแบบภาพบนผนังสกัดให้เกิดความสมมาตร เป็นเทคนิคที่พบในภาพมารผจญและไตรภูมิโลกสัณฐานมาก่อน แต่สำหรับอาคารที่ไม่ได้เขียนภาพดังกล่าว จึงใช้ภาพเมืองขนาดใหญ่เขียนในตำแหน่งกึ่งกลางแทน การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในงานจิตรกรรมฝาผนังสมัยรัชกาลที่ 3 แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของงานที่ในช่วงแรกมีการรับงานช่างมาจากศิลปะจีน จนกระทั่งอิทธิพลจากชาติตะวันตกเริ่มเข้ามา รูปแบบงานจิตรกรรมจึงมีการปรับเปลี่ยนตามไปด้วย ซึ่งจะส่งผลต่องานจิตรกรรมในสมัยรัชกาลที่ 4 ที่แสดงความเป็นงานจิตรกรรมแบบตะวันตกมากขึ้น |
Description: | Doctor of Philosophy (Ph.D.) ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต (ปร.ด.) |
URI: | http://ithesis-ir.su.ac.th/dspace/handle/123456789/2538 |
Appears in Collections: | Archaeology |
Files in This Item:
File | Description | Size | Format | |
---|---|---|---|---|
57107901.pdf | 28.7 MB | Adobe PDF | View/Open |
Items in DSpace are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.