Concepts and Styles of Forest-Dwelling Monastics in Northeastern Thailand B.E.2490-2560

Abstract

From the study, it was found that the concept and starting point for building the forest temple came from Venerable Acariya Sao Guntasilo and Venerable Acariya Man Phurithatto, who went wandering in the mountains and forests until they got disciples, both monks and laymen, following them. When the two monks and the first generation of forest monk disciples began to reach their old age, it was necessary to settle down in the permanent monastery. A group of laypeople who believed in the forest monks built a monk residence, an ordination hall, and other monk dwellings for the forest monks on the area where the forest monks used to live, causing that area to become a house of priest and later raised to the status of a monastery. Historical events in the early 26th century that affected the creation and style of art by the events of the communist war in the northeast made the soldiers who went on duty get to know the forest monks and participated in finding the resources to build buildings in the forest dwelling monastic. At the same time, some government officials got to know the forest monks through Wat Bowonniwet Vihara and through personal service during the reign of King Rama IX. As for the architecture circle, aside from the coming of Western architectural influences, the event for celebrating the 200th anniversary of Rattanakosin was an important part of making traditional Thai architecture popular and used for decoration, especially the pagoda shaped museum.

In studying the arts of forest dwelling monastics in the northeastern region, it was found that there are 5 styles of ordination hall that the ordination in the modern Thai architectural style and a ordination in contemporary Thai architecture are an example that shows the concept and style of building a forest dwelling monastics ordination hall that is different from other places such as having a design that uses Western architectural techniques, using contemporary materials adapted to Buddhist architecture and to support a variety of activities and functions. As for the museum building, it was found that the Phra Achan Man Museum of Wat Pa Sutthawat is a model for other forest monk museums to imitate in order to express the line of Venerable Acariya Man Phurithatto. As for the bell-shaped pagoda museum, the forest dwelling monastic initially used the concept of a monument but later King Rama IX recommended the architecture to use a design of a bell-shaped pagoda to symbolize the collection of relics. As a result, the museum pagoda has the form of a bell-shaped superstructure. However, it is also found that museum pagodas were built in applied Isan traditional art, which was caused by local trends at the time of construction.

จากการศึกษาพบว่าแนวคิดและจุดเริ่มต้นการสร้างวัดป่าเกิดจากพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล และพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ได้ธุดงค์ไปตามป่าเขาจนมีลูกศิษย์ทั้งพระสงฆ์และฆราวาสติดตาม เมื่อพระอาจารย์ทั้งสองและลูกศิษย์พระป่ารุ่นแรกเริ่มเข้าสู่วัยชราจึงจำเป็นจะต้องจำวัดเป็นหลักแหล่ง กลุ่มฆราวาสที่ศรัทธาต่อกลุ่มพระป่าจึงได้สร้างกุฏิ อุโบสถ และเสนาสนะอื่นๆให้กับพระป่าบนพื้นที่ๆพระป่าเคยอาศัย ทำให้พื้นที่นั้นกลายเป็นสำนักสงฆ์และภายหลังได้ยกสถานะเป็นวัด ส่วนเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 26 ที่ส่งผลต่อการสร้างและรูปแบบศิลปกรรมให้กลุ่มทหารที่เข้าไปปฏิบัติหน้าที่ได้รู้จักพระป่าและเข้าไปมีส่วนช่วยหาปัจจัยเพื่อสร้างสิ่งก่อสร้างในวัดป่า ในขณะเดียวกันยังมีกลุ่มข้าราชการบางส่วนได้รู้จักพระป่าผ่านวัดบวรนิเวศวิหารและผ่านทางการรับใช้ส่วนพระองค์ในรัชกาลที่ 9 ทางด้านสถาปัตยกรรมนอกจากเรื่องอิทธิพลทางสถาปัตยกรรมตะวันตกที่เข้ามาแล้ว เหตุการณ์ฉลองสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้งานสถาปัตยกรรมไทยประเพณีกลับมาเป็นที่นิยมและนำมาใช้ตกแต่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเจดีย์พิพิธภัณฑ์

ในการศึกษาศิลปกรรมวัดป่าภาคอีสาน พบว่าอุโบสถมี 5 รูปแบบ โดยอุโบสถแบบสถาปัตยกรรมไทยสมัยใหม่ และอุโบสถแบบสถาปัตยกรรมไทยร่วมสมัย เป็นตัวอย่างทำให้เห็นแนวคิดและรูปแบบการสร้างอุโบสถวัดป่าที่แตกต่างไปจากที่อื่น เช่น มีการออกแบบที่ใช้เทคนิคสถาปัตยกรรมตะวันตก การใช้วัสดุร่วมสมัยที่ปรับประยุกต์ให้เข้ากับงานพุทธสถาปัตยกรรมและเพื่อรองรับกิจกรรมที่หลากหลายหน้าที่ ส่วนอาคารพิพิธภัณฑ์พบว่าพิพิธภัณฑ์พระอาจารย์มั่นวัดป่าสุทธาวาส เป็นต้นแบบให้พิพิธภัณฑ์พระป่าหลังอื่นเลียนแบบเพื่อแสดงออกถึงความเป็นพระป่าสายพระอาจารย์มั่น ในขณะที่เจดีย์พิพิธภัณฑ์วัดป่าแรกเริ่มนำแนวคิดเรื่องอนุสรณ์สถานมาใช้ แต่เมื่อภายหลังรัชกาลที่ 9 ได้แนะนำให้สถาปนิกนำรูปแบบเจดีย์ทรงระฆังมาออกแบบเพื่อสื่อถึงการเก็บอัฐิ ทำให้เจดีย์พิพิธภัณฑ์มีรูปแบบเป็นยอดเจดีย์ทรงระฆัง อย่างไรก็ตามยังพบว่ามีการสร้างเจดีย์พิพิธภัณฑ์แบบอีสานประยุกต์ ซึ่งเกิดจากกระแสท้องถิ่นนิยมในช่วงเวลาการสร้าง